วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

คู่มือคอมพิวเตอร์สำหรับการใช้งานด้านกราฟฟิก

ความหมายของกราฟิกและคอมพิวเตอร์กราฟิก
            กราฟิก หมายถึง ศิลปะหรือศาสตร์แขนงหนึ่ง ที่สื่อความหมายโดยใช้เส้น ภาพเขียน สัญลักษณ์ ภาพถ่าย ซึ่งมีลักษณะเห็นได้ชัดเจน เข้าใจความหมายได้ทันที และถูกต้องตรงตามที่ผู้ใช้ต้องการ
            คอมพิวเตอร์กราฟิก หมายถึง การสร้างและการจัดการภาพกราฟิก โดย ใช้ คอมพิวเตอร์ การใช้คอมพิวเตอร์สร้างภาพ การตกแต่งแก้ไขภาพ หรือการจัดการเกี่ยวกับภาพ เช่น ภาพยนตร์ วิดีทัศน์ การตกแต่งภาพถ่าย การสร้างภาพตามจินตนาการ และการใช้ภาพกราฟิกในการนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้สามารถสื่อความหมายให้ชัดเจนและทำความเข้าใจได้ง่ายกว่าเดิม เช่น การนำเสนอข้อมูลด้วยแผนภาพหรือกราฟ แทนที่จะเป็นตารางของตัวเลข ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกกับงานหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นงานด้านการศึกษา งานด้านธุรกิจ งานด้านการออกแบบ งานด้านบันเทิง หรืองานด้านการแพทย์ เป็นต้น

 ประเภทของภาพกราฟิก 

 ประเภทของภาพกราฟิก แบ่งออกเป็น ประเภท ได้แก่
 1.ภาพกราฟิกประเภท มิติ
            เป็นภาพกราฟิกที่มีแต่ความกว้างและความยาว แต่จะไม่มีความหนาหรือความลึก ได้แก่ ภาพสามเหลี่ยม ภาพสี่เหลี่ยม ภาพถ่าย ภาพลายเส้น ภาพวาด เป็นต้น โดยทั่วไปเรียกภาพกราฟิกประเภท มิติว่า ภาพร่าง 
ตัวอย่างภาพ>>





2.ภาพกราฟิกประเภท มิติ
             เป็นภาพที่เกิดจากการใช้โปรแกรมสร้างภาพ มิติ ภาพที่ได้จะมีลักษณะเหมือนภาพที่มองจากตาคน โดยภาพกราฟิกประเภท 3 มิติจะมีส่วนโค้ง เว้า มุม แสง ความลึก
และรายละเอียดที่สูงขึ้นจากภาพกราฟิกประเภท มิติ มีลักษณะการมองภาพที่เหมือนจริง 
ตัวอย่างภาพ>>





ระดับผู้ใช้งานด้านกราฟิก (graphic user) งานด้านกราฟิก เช่น งานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อโฆษณาต้องใช้ฮาร์ดแวร์และโปรแกรมต่างๆที่มีคุณลักษณะของเครื่องคอมพิวเตอร์สูงพอควร บางครั้งต้องใช้โปรแกรมพร้อมกันหลายตัว เช่น Photoshop ,Illustrator, CorelDraw เป็นต้น ซึ่งราคาจะอยู่ในระดับกลางถึงสูง ผู้ใช้จึงควรประกอบคอมพิวเตอร์ใช้เอง เพราะทำให้รับความรู้มากขึ้น สามารถกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของเครื่องได้ตามลักษณะของเครื่องได้ตามลักษณะเฉพาะของงานด้านกราฟิก และใช้โปรแกรมต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับการใช้งานด้านกราฟิก สำหรับผู้ใช้ที่ชอบติดตามเทคโนโลยีใหม่ๆ มีการใช้งานหลากหลาย เช่น การออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ ตกแต่งภาพ งานกราฟิก งานเขียน โปรแกรม เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง เป็นต้น โดยอาจมีการลงซอฟต์แวร์ใหม่ๆ เพื่อทดลองใช้งาน  อีกทั้งยังเหมาะกับกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความคล่องตัวในการทำงาน จึงต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง และเป็นเครื่องที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็วทันใจ ไม่ช้าเกินไป และสามารถใช้งานโปรแกรมต่างๆได้หลากหลาย ซึ่งคุณลักษณะคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมมีดังนี้

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
คุณลักษณะที่เหมาะสมและรายละเอียดที่แนะนำ
ซีพียู
รุ่น Intel Core 2 Duo หรือ AMD Athlon 64x2
แรม
ชนิด DDR2-SDRAM ขนาด 1 GB ขึ้นไป
เมนบอร์ด
มีสล็อต PCl Express x16 ส่วนอุปกรณ์อื่นๆอาจเลือกแบบ On Board เช่น ชิปเสียง ชิปเน็ตเวิร์ก เป็นต้น
ฮาร์ดดิสก์
อินเทอร์เฟส Serial ATA-II ขนาดความจุ 250 GB ขึ้นไป
การ์ดจอ/การ์ดแสดงผล
ควรเลือกการ์ดแสดงผลมาตรฐาน PCl Express x16 ที่มีคุณภาพแสดงผลค่อนข้างสูง และขนาดหน่วยความจำบนการ์ด 256 MB ขึ้นไป โดยเลือกชิปแสดงผลเป็น nVidia GeForce FX 6800 ขึ้นไป หรือ ATi Radeon x1300 ขึ้นไป
การ์ดเสียง
ใช้เป็นแบบ On Board
การ์ดเครือข่าย/การ์ดแลน
ใช้เป็นแบบ On Board ที่สนับสนุนอัตราความเร็วคงที่ ใช้เป็นแบบ10/100 Mbps หรืออาจสูงถึง 1 Gbps ก็ได้ถ้ามีเครือข่ายรองรับ
Optical Storage
ไดว์ฟ DVD-RW ซึ่งสามารถอ่านและเขียนแผ่นได้เกือบทุกประเภท
จอแสดงผล
ขนาดจอภาพแสดงผลควรเลือกขนาด ๑๙ นิ้ว
เครื่องสำรองไฟฟ้า
ควรสำรองไฟฟ้าได้ตั้งแต่ ๕๐๐โวลต์แอมป์ (VA) ขึ้นไป (สำหรับตัวเครื่อง จอภาพ และอุปกรณ์อื่นๆที่กินไฟ โดยรวมแล้วไม่เกิน ๓๐๐ วัตต์)
สำหรับลำโพง หูฟัง เครื่องพิมพ์ เครื่องสแกนเนอร์ เครื่องสำรองไฟ และอุปกรณ์อื่นๆ เพิ่มเติม สามารถเลือซื้อได้ตามความต้องการ และหากต้องการเก็บข้อมูลปริมาณมาก อาจจะเลือกบลูเรย์ดิสแทนดีวีดีก็ได้
สำหรับการใช้งานกราฟิกขั้นสูง สำหรับผู้ใช้งานโปรแกรมต่างๆโดยเฉพาะงานที่ต้องแสดงผลในรูปแบบสามมิติ รวมถึงการเล่นเกมสามมิติ ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องที่มีคุณลักษณะสูงเช่นเดียวกัน ซึ่งคุณลักษณะคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมเป็นดังนี้
หากใช้งานด้านตัดต่อภาพยนตร์ อาจเพิ่มแรมเป็น 4 GB ฮาร์ดดิสก์ Serial ATA-II และขนาด 600 GB ขึ้นไป การ์ดจอประสิทธิภาพสูง ตัวอย่างเช่น Vidia Quadro การ์ดเสียงและลำโพงคุณภาพสูงแบบ Surround และอาจเลือกใช้บลูเรย์ดิสแทนดีวีดีก็ได้
การสำรวจราคา
เมื่อผู้ใช้กำหนดคุณลักษณะของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ตรงตามความต้องการแล้ว ผู้ใช้สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับราคาของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้จากร้านขายเครื่องคอมพิวเตอร์หรือศูนย์คอมพิวเตอร์ต่างๆ แล้วนำราคาแต่ละแหล่งมาเปรียบเทียบ เพื่อให้ราคาที่เหมาะสมและคุ้มค่ามากที่สุด รวมทั้งตรงกับคุณลักษณะของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการอีกด้วย
 การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้ แบ่งออกได้เป็น ๓ กลุ่ม คือ
๑.กลุ่มที่เลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์แบบมียี่ห้อ หรือเรียกว่าเครื่องแบรนด์เนม(brand name) ทั้งแบรนด์เนมของไทยและของต่างประเทศ เช่น Laser , Powell , IBM , Acer , Atec เป็นต้น
๒.กลุ่มที่เลือกซื้อเครื่องสั่งประกอบตามร้านคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้า เช่น ที่พันธ์ทิพย์พลาซ่า เสรีเซ็นเตอร์ หรือจากร้านจำหน่ายคอมพิวเตอร์ทั่วไป เป็นต้น
๓.กลุ่มที่เลือกซื้ออุปกรณ์มาเป็นชิ้นๆ แล้วนำมาประกอบเองที่บ้าน





การเลือกซื้อในแต่ละกลุ่มมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ดังนี้
ชนิดของการเลือกซื้อ
ข้อดี
ข้อเสีย
เครื่องมียี่ห้อ
1. มีคุณภาพได้มาตรฐาน
2.การบริการ/ดี
3.มีการรับประกันดี
4.ในบางที่จะมีการฝึกอบรมการใช้โปรแกรมสำหรับผู้ซื้อเครื่องด้วย
1.เครื่องมีราคาสูง
2.ไม่สามารถเลือกคุณลักษณะและยี่ห้อของอุปกรณ์ที่ต้องการได้
3.เวลาสั่งซื้อเครื่อง อาจต้องรอเครื่องเป็นเวลานานหลายวัน
เครื่องสั่งประกอบ
1.เลือกซื้ออุปกรณ์หรือปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ
2.มีคุณลักษณะและยี่ห้อตามต้องการ
3.ราคาถูก(ขึ้นอยู่กับทางร้าน)
4.การรับประกัน(ขึ้นอยู่กับทางร้าน)
1.ถ้ามีความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ไม่ดีพอ อาจจะได้ของที่ไม่มีคุณภาพ
2.เวลาเครื่องเสีย หรือมีปัญหาต้องยกเครื่องไปให้ช่างที่ร้านซ่อม
3.อาจได้สินค้าของปลอม
เครื่องประกอบเอง
1.เลือกซื้ออุปกรณ์หรือปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ
2.คุณลักษณะและยี่ห้อตามต้องการ
3.ไม่เสียค่าประกอบ
4.ราคาถูก(ขึ้นอยู่กับทางร้าน)
5.การรับประกัน(ขึ้นอยู่กับทางร้าน)
6.การบริการ(ขึ้นอยู่กับทางร้าน)
1.ผู้ใช้ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ทางด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์เป็นอย่างดี เพราะต้องประกอบเครื่องและลงโปรแกรมเอง
2.ถ้ามีความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ไม่ดีพออาจจะได้ของที่ไม่มีคุณภาพ
3.เวลาเครื่องเสียหรือมีปัญหา   ต้องยกเครื่องไปให้ช่างที่ร้านซ่อม
4.อาจได้สินค้าปลอม
การเลือกคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์นั้น ผู้ใช้ควรวางแผนและหาข้อมูลในการเลือกซื้อไว้ก่อนล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะประกอบเอง หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มียี่ห้อต่างๆ และควรพิจารณาถึงความต้องการที่จะนำไปใช้งานเป็นหลัก เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้งานนั้นสามารถเอื้ออำนวยในการทำงานของผู้ใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งการเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ผู้ใช้งานเท่านั้นที่จะสามารถกำหนดขอบข่ายและคุณลักษณะของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้เหมาะสมที่สุด
การเลือกซื้อซีพียู
การเลือกซื้อซีพียูต้องพิจารณาเรื่องความเร็ว ความเร็วขั้นต่ำแปรเปลี่ยนไปตามเวลา โดยปกติจะดูว่าซื้อเพื่ออะไร เช่นถ้าซื้อ ใช้งานเป็นเพียงอินเทอร์เน็ตบราวเซอร์ในห้องเรียนให้นิสิตใช้เพื่อเป็นการเรียกเข้าสู่อินเทอร์เน็ต สามารถใช้ซีพียูรุ่นต่ำที่มีขายในปัจจุบันราคาซีพียูในระดับต่ำนี้ การตัดสินใจจะเลือกซื้ออะไรมาใช้ คงต้องลองศึกษาจากหลายๆ องค์ประกอบ  โดยเฉพาะการมองหารายละเอียด ข้อดี ข้อเสีย รวมทั้งงบประมาณการลงทุนต่างๆ ที่มีอยู่ด้วย เทคนิคที่เกี่ยวกับซีพียูทั้งสองด้านนี้ สามารถหาได้ได้จากเว็บไซต์ของบริษัท คือ www.amd.com และ www.intel.com ผู้สนใจลองทำการศึกษาอย่างน้อยเป็น ความรู้ที่จะมีประโยชน์ต่อไป
อันดับแรกที่เราควรให้ความสำคัญ ในการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจำมาประกอบเอง หรือซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเซตก็ ตาม คือการเลือกซีพียูนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นรุ่นและความเร็วของซีพียูตามระดับการใช้งานของเรา เพื่อเราจะได้ทราบรูปแบบอินเทอร์เฟส (Socket) สำหรับติดตั้งบนเมนบอร์ด เพื่อเลือกซื้อเมนบอร์ดที่ตรงกับรุ่นของซีพียูต่อไป  
การเลือกความเร็วของซีพียู : ความเร็วของซีพียูในปัจจุบันถูกพัฒนาอย่างรวดเร็ว  สามารถแบ่งความเหมาะสมตามลักษณะของงานที่ทำได้ดังนี้
 ลักษณะของงานที่ต้องการ
ความเร็วของซีพียู
งานพิมพ์เอกสาร ดูหนัง ฟังเพลง และเล่นอินเทอร์เน็ต
ใช้ความเร็ว 700 – 1300 MHz
งานกราฟิกส์ ตกแต่งภาพความละเอียดสูง
ใช้ความเร็ว 1.3 – 2.0 GHz
งานสร้างมัลติมีเดีย ตัดต่อเสียง และวิดีโอ
ใช้ความเร็ว 2.0 GHz ขึ้นไป
              ซีพียูจากค่าย Intel : ผลิตทั้งรุ่นที่ออกมาสำหรับตลาดระดับล่างอย่าง Celeron และรุ่น Pentium 4  สำหรับตลาดระดับบนที่ต้องการประสิทธิภาพในการทำงานสูง โดยมากแล้วชิปซีพียูจากค่าย Intel จะได้รับความนิยมสูงกว่าค่ายอื่นๆ เพราะมีเสถียรภาพสูงกว่า และร้อนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ AMD
                  ซีพียูจากค่าย AMD : ถือเป็นคู่แข่งตลอดกาลของ Intel โดยมีชิปซีพียูรุ่น Duron สำหรับตลาดราคาประหยัด และAthlonXP สำหรับตลาดระดับบน โดยตัวเลขที่บอกประสิทธิภาพนั้นจะเปรียบเทียบกับ Athlon รุ่น Thunderbird ไม่ได้บอกเป็นความเร็วสัญญาณนาฬิกาเหมือนอย่าง Intel โดยรวมแล้ว ชิปซีพียูของ AMD มีราคาต่ำกว่าพอสมควร ถือเป็นทางเลือกของผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และประสิทธิภาพถือว่าไม่
เลือกซื้อเมนบอร์ด
คนส่วนใหญ่ที่กำลังจะเลือกซื้อคอมพิวเตอร์มักหาข้อมูลทำการบ้านแต่เฉพาะในส่วนหลักสองส่วนใหญ่ ก็คือ ซีพียู และ กราฟฟิคการ์ด ซึ่งก็จริงที่ทั้งสองส่วนนี้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนที่ได้ฟังสเปกสองตัวนี้ถึงกับร้องอู้หู้เมื่อได้ยินว่าเราใช้ Intel® Core i7 940 หรือ ได้ยินว่าเราใช้กราฟฟิคการ์ด NVIDIA Geforce295GTX เพราะทั้งสองส่วนนี้เป็นตัวที่ตอบสนองความแรงในการประมวลผลไม่ว่าด้านตัวเลข หรือ ภาพ 3D แต่เคยมีใครได้สังเกตไหมว่าจริงๆ แล้วเรายอมลดสเปกอุปกรณ์บางอย่างลงไปเพื่อให้ได้มาซึ่งซีพียูหรือกราฟฟิกการ์ดที่แรง แต่เรากลับไม่ได้สนใจว่าเมนบอร์ดที่เราซื้อเพื่อใช้กับซีพียูและกราฟฟิกการ์ดนี้ มีประสิทธิภาพที่จะดึงความสามารถของซีพียู กราฟฟิกการ์ด และ ทนทานต่อการใช้งานอย่างต่อเนื่องของเราเพียงใด เทคโนโลยีที่ใช้เป็นอย่างไร มีซอฟท์แวร์ที่มาพร้อมกับเมนบอร์ดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มความปลอดภัย และ ความสะดวกให้กับเราไหม เพราะตอนนี้ซอฟท์แวร์ที่มาพร้อมกับตัวเมนบอร์ดอาจจะเป็นตัวตัดสินที่ทำให้ผู้ใช้ตัดสินใจเลือกใช้เมนบอร์ดด้วยส่วนหนึง เกริ่นมาซะเยอะแล้ว วันนี้ผมจะใคร่ขออาสานำความรู้ดีๆ ในการตัดสินใจเลือกซื้อเมนบอร์ดคุณภาพครับ ตามมาเลยครับ …..
Main Board หรือ Motherboard คือ แผงวงจรหลักทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อระหว่างฮาร์ดแวร์ต่างๆ เพื่อทำให้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ทั้งหมดที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นซีพียู หน่วยความจำ ฮาร์ดไดรฟ์ ซีดีรอมไดรฟ์ ดีวีดีรอมไดรฟ์ ที่ผ่านทางสายเคเบิลหรือแม้แต่การ์ดแสดงผล และการ์ดเสียงก็ล้วนแล้วแต่ต้องทำงานเข้ากันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีเสถียรภาพ
เมนบอร์ดในปัจจุบันที่เราพบเห็นในตลาดมีสองค่ายเท่านั้นเองครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่ามีแค่สองบริษัทที่ขายเมนบอร์ดไม่ใช่แบบนั้นครับ แต่หมายความว่ามีเมนบอร์ดที่ซัพพอร์ตซีพียูระหว่าง Intel® และ AMD เท่านั้นน่ะครับ แต่ผู้ผลิตเมนบอร์ดมีอยู่มากมายหลายบริษัทให้เราเลือกใช้ โดยแต่ละบริษัทก็มีจุดเด่น จุดด้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับตัวสินค้าที่ออกมาว่าจะโดนใจใครหลายคนหรือเปล่า แต่อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นครับว่า ปัจจุบันการต่อสู้ทางการตลาดของสินค้าประเภทเมนบอร์ดไม่ได้วัดกันที่เฉพาะอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์บนเมนบอร์ด หรือ แค่สเปกของเมนบอร์ดเท่านั้น แต่ยังต้องรวมถึงซอฟท์แวร์ยูทิลิตี้ที่มาพร้อมกับเมนบอร์ดด้วย ว่าสามารถทำประโยชน์ และเพิ่มความสามารถในการใช้งานเมนบอร์ดในด้านใดบ้าง ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มความเร็วให้กับซีพียูเพิ่มความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกอื่นๆ เพิ่มเติม คราวนี้ผมจะแยกส่วนสาระสำคัญของฮาร์ดแวร์ที่อยู่บนเมนบอร์ด เพื่อเพิ่มความเข้าใจให้กับผู้อ่าน เพื่อที่จะตัดสินใจในการครอบครองเมนบอร์ดได้อย่างถูกต้อง และได้ใช้ประโยชน์สูงสุดครับ
คำอธิบาย: img_news10020-1
เลือกซื้อแรม
สำหรับแรมผมได้กล่าวไว้แล้วว่ามีหน้าอะไรบ้าง  สำหรับแรมก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญเช่นกันเพราะฉะนั้นแล้วเราควรเลือกให้ถูกวิธีด้วย  สำหรับขึ้นตอนการเลือกซื้อแรม  มีขั้นตอนการเลือกซื้อดังต่อไปนี้
1.ประเภทของแรม
แน่นอนครับสำหรับประเภทของแรมนั้น  ก็จะถูกจำกัดด้วยเมนบอร์ดที่เราจะเลือกซื้อเช่นกัน  โดยเมนบอร์ดก็จะต้องถูกบังคับจากซิปเซต  สำหรับคนที่จะซื้อในขนาดนี้จะมีอยู่ ประเภทที่ผมจะแนะนำนะครับ ซึ่งทั้ง มีความเร็วที่แต่ต่างกัน
1.1 DDR 2
สำหรับ DDR 2 นั้นมีความนิยมเป็นอย่างยิ่งในขนาดนี้ถือเป็นแรมตลาดเลยที่เดียว  เพราะในปัจจุบันนี้เมนบอร์ดเองก็สามารถรองรับการทำงานของแรมชนิดนี้ได้หมดแล้ว  แล้วราคาในขณะนี้ก็มีราคาที่ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับชนิดอื่นๆ  และในเรื่องของความเร็วก็สามารถใช้ได้เร็วมากเลยที่เดียว  มีความเร็วตั้งแต่ 400-1,066 MIz ใช้แรงดันไฟฟ้า 1.8 V
1.2  DDR3
เป็นแรมประเภทมี่พึ่งมาใหม่ล่าสุดเลย  ซึ่งมีความเร็วสูงสุด  ถึง 1,600-2,000 MHz เลยทีเดียวครับ  แล้วใช้แรงดันไฟฟ้าแค่เพียง 1.5 V เท่านั้น  ถือได้ว่ามีความเร็วสูงกว่าทุกประเภทแต่ปัจจุบันนี้ได้มี DDR4 มาแล้วเอาไว้คราวหน้าตอนที่มีคนใช้เยอะๆ  จะมาเล่าให้ฟังนะครับ ส่วนราคาตอนนี้ยังสูงอยู่  แต่ถ้าใครต้องการซื้อหรือมีตังพอไม่ขัด ครับ  เพราะว่ากำลังจะเป็นที่นิยมกันแล้ว  แต่ต้องดูด้วยว่าเมนบอร์ดของเรานั้นรองรับหรือไม่  เพราะว่ายังมีเมนบอร์ดที่ยังไม่รองรับอีกเยอะครับ  ที่สำคัญ DDR3กับ DDR2 ใช้สล็อตเดียวกันไม่ได้เพราะฉะนั้นแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะใส่ผิด
คำอธิบาย: ddr3-vs-ddr2-ram
2.หน่วยความจำ
แรมนั้นมีหน่วยความจำหลัก  ที่จำเป็นต้องการความจำสูงเพื่อประสิทธิภาพของการทำงานเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย  โดยหน่วยความจำของแรมนั้น มีหน่วยเป็น GHz  ยิ่งมีความจำมากก็ทำให้เครื่องเราเร็วขึ้นไปด้วย ราคมของแรมที่มีความจุสูงๆ เดี่ยวนี้ราคาไม่แพงมากนัก  แต่ก็ควรที่จะดูว่าขนาดไหนเหมาะกับเรา  เพื่อจะได้ไม่สิ้นเปลืองมากกว่าปกติ
3.ความเร็ว
ความเร็วหรือว่า บัสของแรมนั้นก็มีความสำคัญเพาะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การถ่ายโดนข้อมูลได้เราขึ้น ซึ่งก็ได้กล่าวไปแล้ว่าประเภทของแรมนั้นก็มีความเร็วที่แตกต่างกัน  แล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดเราอีกนั้นล่ะว่าจะรองรับได้มากแค่ไหน  หรือถ้าใครซื้อแรมชนิดไหนก็ได้ที่มีความเร็วสูงไปที่เมนบอร์ดจะรองรับก็สามารถจะใส่ได้เมื่อซื้อแรมที่เป็นประเภทเดียวกันเท่านั้นแต่ความเร็วของแรมก็เท่ากับ  เมนบอร์ดรองรับ  และใครที่ซื้อแรมมา ตัวแต่ มีความเร็วเท่ากัน  มันก็จะใช้แรมที่มีความเร็วต่ำกว่านั้นเอง
4.ก็การเลือกยี่ห้อ
การเลือกยี่ห้อนั้นแล้วแต่ศรัทธาครับ  ไม่ว่ากันแต่จะมีการรับประกันที่แต่ต่างกันนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ  อย่างเช่นการเครมที่ไหม้ได้ไม่ได้  รวมทั้งราคาของแรมด้วยประสิทธิภาพจะแตกต่างกันหรือไม่นั้นส่วนตัวผมเอง  ใช่มาหลายยี่ห้อแล้วไม่ต่างกันเลย  เพราะฉะนั้นอยากได้ยี่ห้อไหนรับประกันดีเป็นพอครับ  อันนี้ไม่เกี่ยวกับหน้าตาคนขายนะครับ
เลือกซื้อฮาร์ดดิสก์
สำหรับฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่มาก  เพราะฉะนั้นแล้วจึงมีการเลือกซื้อให้เหาะสมกับความต้องการของเรา  ในปัจจุบันฮาร์ดดิสก์ได้มีราคาต่อความจุถูกมาก  และมีความเร็วที่แตกต่างกัน  จะข้อแนะนำการเลือกซื้อดังต่อไปนี้
1.ประเภทของ ฮาร์ดดิสก์
ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้ๆ กันอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ ประเภทด้วยกัน  คือ  (สำหรับฮาร์ดดิสก์ที่เชื่อมต่อภายนอกจะขอกล่าวในลำดันถัดไป)
– แบบ IDE เป็นฮาร์ดดิสก์ ที่จะบอกว่ารุ่นเก่าแล้วก็ว่าได้  เพราะว่ามีรุ่นใหม่ที่เร็วกว่าประหยัดทั้งพื้นที่ประทั้งพลังงานได้ดีกว่า  และเมื่อเปรียบเทียบแล้วจะราคาแพงกว่า SATA ด้วยซ้ำ
– แบบ SATA เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามามนตอนนี้และได้มีความนิยมเป็นอย่างมาก  เพราะว่าในเมนบอร์ดรุ่นใหม่นั้นก็ลองรับได้หมดแล้ว  และมีราคาที่ถูกกว่า ฮาร์ดดิสก์ แบบSATA
คำอธิบาย: sata-ide_lg

2.ขนาดของความจุ
ความจุของฮาร์ดดิสก์หรือพื้นจัดเก็บข้อมูล  นั้นมีความสำคัญว่าเราจะใช้งานประเภทใดและต้อง  เลือกความจุขนาดใดใครที่ชอบทำงานด้านมัลติมีเดียก็ต้องเลือกความจุมากๆ ปัจจุบันนี้มีความจุ ถึง 2 GB ไปแล้วซึ่งสามารถเก็บข้อมูลจนลืมไปเลยว่าซื้อมาตอนไหน  ไม่รู้จักเต็มสักที  แต่ก็ยังมีราคาที่สูงอยู่นั้นเอง
3.ความเร็วรอบ
ความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์นั้นย่อมมีผลโดยตรงต่อความเร็วของฮาร์ดดิสก์  คือถ้าฮาร์ดดิสก์มีความเร็วรอบสูงแล้ว  ข้อมูลก็จะเคลื่อนมาถึงหัวอ่านได้อย่างรวดเร็วขึ้น  ความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์นั้นมีหน่วยเป็น รอบต่อนาที (rpm)  ในปัจุจบันความเร็วรอบนั้น 5,400-7,200 rpm แล้ว  และยังมีการพัฒนาความเร็วได้ถึง 10,000 rpm
4.บัฟเฟอร์ของ ฮาร์ดดิสก์
บัฟเฟอร์ก็คือหน่วยความจำแคชของฮาร์ดดิสก์นั้นเองครับ  เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความเร็วและประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์   ถ้าเกิดฮาร์ดดิสก์ไหนที่มีขนาดบัฟเฟอร์ขนาดใหญ่ก็จะช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาที่จะกลับไปนำข้อมูลนั้นมาใช้ซ้ำอีก  โดยการทำงานนั้นจะทำงานรวมกับแรม  แรมจะนำข้อมูลจากบัฟเฟอร์มาใช้โดยตรง  ในปัจจุบันแล้วขนาดบัฟเฟอร์  ก็มีจำนวน 8-32 MB ไปแล้ว
5.ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล
ช่วงเวลาในการเข้าถึงข้อมูล (Seek Time) คือช่วงเวลาที่ตำแหน่องบนจานของฮาร์ดดิสก์นั้นหมุนมาพอดีกับตรงที่หัวอ่านพอดี  ความเร็วนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์เอง  ยิ่งมีความเร็วที่น้อยก็สามารถที่จะทำให้ฮาร์ดดิสก์นั้นอ่านเขียนได้เร็วขึ้น
มารู้จักเทคโนโลยีไฮบริด (Hybrid)
ฮาร์ดดิสก์แบบนั้นคือเป็นเทคโนโลยีที่นำหน่วยความจำมาเป็นแฟลช  มาทำงานร่วมกับฮาร์ดดิสก์โดยลักษณะจะเหมือนการทำงานของแฟลชไดร์  โดยหน่วยความจำที่นำมาใช้นั้นจะช่วยเพิ่มที่จะช่วยโหลดไฟล์ที่ใช้งานบ่อยๆ  หรือเก็บมาไว้ใช้ชั่วคราว  ก็ช่วยเพิ่มทั้งความปลอดภัยและความรวดเร็วของของมูล
เลือกซื้อการ์ดแสดงผล
1. ตรวจสอบชนิดการเชื่อมต่อการจอภาพที่คุณต้องการ รูปแบบการเชื่อมต่อที่เมนบอร์ดรองรับ หรือหากซื้อเมนบอร์ดแล้วให้พิจารณาว่าจะใช้การ์ดแสดงผลที่เชื่อมต่อในรูปแบบใด หรืออาจจะพิจารณาเลือกรูปแบบการเชื่อมต่อ จากนั้นจึงซื้อเมนบอร์ด และซีพียูก็ได้
2. ตรวจสอบการเข้ากันได้ของการ์ดแสดงผล โดยการ์ดแสดงผลจะมี AGP2x/4x/8x นอกจากนี้ยังมีแรงดันไฟที่ต่างกัน เช่น 3.3 โวลต์อีกด้วย
3. พิจารณาตั้งแต่ขั้นตอนการจัดสเปคคอมพิวเตอร์ ว่าจะใช้เมนบอร์ดที่รองรับการ์ดแสดงผลแบบใด แล้วจึงเลือกการ์ดแสดงผลที่ต้องการ หรือหากต้องการเชื่อมต่อการ์ดแสดงผลแบบคู่ก็ต้องเลือกตั้งแต่เมนบอร์ดเลยทีเดียว
4. ตรวจสอบให้ดีว่าโปรแกรมหรือเกมที่คุณใช้นั้น รองรับเทคโนโลยีใดบ้าง แล้วจึงเลือกให้เหมาะสมกับงานที่เราใช้จริง
คุณสมบัติต่าง ๆ ที่เราควรคำนึงถึงในการเลือกซื้อการ์ดแสดงผล
การ์ดแสดงผลในปัจจุบัน จะใช้มาตรฐาน PCI Express ส่วนรุ่นเก่าจะใช้มาตรฐาน AGP ซึ่งมีอยู่ 3มาตรฐานด้วยกัน คือ AGP 2X, AGP 4X, และ AGP 8x  ซึ่งทำงานที่ความเร็ว 133 MHz, 266MHz และ 533 MHz ตามลำดับ    เราจำเป็นต้องเลือกการ์ดที่สนับสนุนการทำงานร่วมกับเมนบอร์ดด้วย   เพราะหากซื้อการ์ดที่ทำงานด้วยความเร็วสูงกว่า    ก็ไม่สามารถทำ
งานได้เต็มประสิทธิภาพอยู่ดีนั่นเอง
ชนิดของแรมบนการ์ด
แรมที่มีการนำมาใช้บนการ์ดแสดงผลนั้น   ป้จจุบันนิยมใช้อยู่  3   แบบคือ DDR-SDRAM, DDR2 และ DDR3 และมาตรฐานในปัจจุบันคือ DDR2 และ DDR3
ขนาดแรมบนการ์ด
นอกจากประเภทของแรมแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องดูก็คือขนาดความจุของแรมที่ใช้ซึ่งเป็นตัวกำหนดความเร็วในการทำงานของการ์ดแสดงผลด้วย    ยิ่งแรมมากเท่าไร  ก็จะช่วยให้เราสามารถปรับความคมชัดของสี/ค่าความลึกของสีได้มากขึ้น (ปัจจุบันอยู่ที่ 128 MB หรือสูงกว่า)
เลือกซื้อจอแสดงผล
จอภาพ เป็นอุปกรณ์ที่รับสัญญาณจากการ์ดแสดงผล มาแสงเป็นภาพบน จอภาพ แบ่งเป็น ประเภท
1.จอภาพ CRT
คำอธิบาย: images-124
คือ จอภาพที่รับสัญญาณภาพแบบอะนะล็อก พัฒนามาจากหลอดภาพโทรทัศน์ด้วยการใช้หลอดภาพในการแสดงผลเช่นเดียวกันคะ จอซีอาร์ที จะทำงานโดยอาศัยหลอดภาพที่สร้างภาพโดยการยิงลำแสงอิเล็กตรอนไปยังที่ผิวหน้าจอ ซึ่งมีสารประกอบของฟอสฟอรัสฉาบอยู่ที่ผิว เมื่อถูกแสงอิเล็กตรอนมากระทบ  สารเหล่านี้เจะกิดการเรืองแสงขึ้นมา ทำให้เกิดเป็นภาพนั่นเอง
2. จอภาพ LCD
คำอธิบาย: download4
จอภาพ LCD คือ จอแสดงผลแบบ (Digital ) ที่ใช้วัตถุที่เป็นผลึกเหลว (liquid crystal) แทนการใช้หลอดภาพในจอซีอาร์ที และใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ในการผลิตแสงสว่าง จึงทำให้จอภาพแอลซีดีใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าจอแบบซีอาร์ทีประมาณหนึ่งในสามโดยภาพที่ปรากฏขึ้นเกิดจากแสงที่ถูกปล่อยออกมาจากหลอดไฟด้านหลังของจอภาพ (Black Light) ผ่านชั้นกรองแสง (Polarized filter) แล้ววิ่งไปยัง คริสตัลเหลวที่เรียงตัวด้วยกัน เซลล์คือ แสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีนํ้าเงิน กลายเป็นพิกเซล (Pixel) ที่สว่างสดใสเกิดขึ้น
3. จอภาพ LED
คำอธิบาย: download-12
จอภาพ LED ใช้หลอดแอลอีดีมาเรียงกันบนพาแนลแล้วทำให้เกิดภาพด้วยการติด ดับของหลอดแอลอีดีซึ่งก็ได้ภาพที่ตาเรามองออกมา ซึ่งในเหล่านี้มันยังมีราคาสูงมากๆ
ความเหมาะสมกับการใช้งาน
1. งานเอกสาร หรือ ในสำนักงาน ควรเลือกจอภาพ ขนาด 17-19 นิ้วเพื่อถนอมสายตา
2. งานกราฟฟิก ควรเลือกจอภาพ ขนาด 19-21 นิ้ว
3. งานออกแบบที่ต้องแสดงผลเป็น มิติ ควรเลือกจอภาพ ขนาดไม่ต่ำกว่า 24 นิ้ว
4. ใช้งานทั่วไป 14-15 นิ้ว
หลักการเลือกซื้อจอภาพคอมพิวเตอร์
1. ควรเลือกจอภาพขนาด 15 นิ้วขึ้นไปเป็นอย่างน้อย เพราะปัจจุบันจอภาพ 15 นิ้ว มีราคาสูงกว่าจอภาพขนาด 14 นิ้วเล็กน้อยเท่านั้น
2. ควรเลือกจอภาพที่มีค่าระยะด็อตพิชต์ต่ำๆ เพราะจะทำให้ภาพออกมาคมชัด
3. เลือกจอภาพที่สามารถเลือกความละเอียดได้หลายโหมด
4. ควรเลือกแบบจอแบน เพราะจอแบนจะมีคุณสมบัติในการหักเหของแสงสะท้อนที่ตกกระทบบนจอภาพออกไปในทิศทางที่หลบออกจากสายตาผู้ใช้
5. ตรวจดูปุ่มรับการควบคุมจอภาพต่างๆ ว่าสามารถปรับอะไรได้บ้าง ใช้งานง่ายและสะดวกหรือไม่
6. จอภาพที่นิยมใช้ ได้แก่ ADI, CTX, LG, MAG, Panasonic,  Philips,  SONY,  Sumsung, Viewsonic เป็นต้น
การเลือกซื้อไดรว์ดีวีดีอาร์ดับบริว (DVD-RW Drive)
ดีวีดีอาร์ดับบลิวไดร์ฟ (DVD-RW Drive) มีลักษณะคล้ายกับซีดีอาร์ดับบลิวไดร์ฟ คือสามารถอ่านและเขียน
แผ่นดีวีดีแบบพิเศษ คือแผ่น DVD-R และแผ่น DVD-RW ได้
ปัจจุบันผู้ผลิตหลายๆ ราย นิยมติดตั้งไดร์ฟชนิดนี้มาก เพื่อ
ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่ต้องทำงานกับข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และ
ที่สำคัญราคาไดร์ฟประเภทนี้มีราคาลดต่ำลงมาก( ประมาณ 1,000-2,000 บาท)
ซึ่งกลายมาเป็นมาตรฐานของไดร์ฟบนเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
เลือกซื้อเครื่องพิมพ์
1. เลือกชนิดของ printer ให้ถูกต้องตามประเภทของการใช้งาน
ก่อนที่เราจะเลือกซื้อ ควรจะทราบเสียก่อนว่าต้องการนำไปใช้งานแบบใดเป็นหลักหรือต้องการฟังก์ชันใดๆ บ้าง  เช่น  นำไปพิมพ์เอกสารทั่วๆ ไป,  พิมพ์ภาพถ่าย,  การพิมพ์พร้อมทำสำเนา  หรือต้องการใช้งานที่หลากหลาย  หรือพิมพ์งานที่ต้องการความคมชัดมากๆ ซี่งประเภทของ printer นั้นมีมากมายหลายแบบมาก (ส่วนรายละเอียดของชนิด printer แบบต่างๆ สามารถอ่านได้ในเนื้อหาบทความถัดไปครับ)
2. สำรวจงบประมาณที่ต้องการซื้อ ที่คุ้มค่ากับการใช้งาน
หากคุณผู้อ่านมีงบประมาณที่จะซื้ออยู่แล้ว  ก็สามารถคำนวณได้ว่าจะซื้อ printer รุ่นใดได้บ้าง  และมีฟังก์ชันที่เพียงพอต่อความต้องการหรือไม่  ซึ่งหากตัดฟังก์ชันบางอย่างหรือคุณสมบัติที่ไม่ต้องการออกไป  ก็จะทำให้สามารถลดงบประมาณในการซื้อลงได้
3. เปรียบเทียบคุณสมบัติของเครื่องพิมพ์แต่ละรุ่น
เมื่อเลือกชนิดของ printer ได้ และทราบงบประมาณแล้ว  เราก็ควรพิจารณาคุณสมบัติหรือ spec ต่างๆ ของ printer แต่ละรุ่น  เพื่อเปรียบเทียบกันว่าควรจะซื้อรุ่นไหนดี  โดยหัวข้อสำคัญที่เราควรจะทราบหลายๆ อย่างเช่น
– ความละเอียด (Resolution) ว่า printer เครื่องนี้พิมพ์ได้ละเอียดแค่ไหน  (หน่วยเป็น dpi)  ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว  printer ในปัจจุบันก็พิมพ์งานได้ละเอียดมากพออยู่แล้วครับ  คุณภาพการพิมพ์มักจะขึ้นอยู่กับการปรับตั้งค่า และกระดาษที่ใช้มากกว่า
– ขนาดของหยดหมึก หน่วยเป็น pl
– ความเร็วในการพิมพ์ ซึ่งอาจมีความแตกต่างกัน หากพิมพ์งานสีหรืองานขาว-ดำ,  หากเราต้องการพิมพ์งานทีละมากๆ หรือใช้ในออฟฟิส  ก็ควรใช้เครื่อง printer ที่มีความเร็วสูงขึ้น
– ขนาดกระดาษที่รองรับ  (เล็กสุด-ใหญ่สุด) พิมพ์กระดาษได้หนาแค่ไหนพิมพ์ไร้ขอบได้หรือไม่,  รองรับการพิมพ์ ด้านหรือไม่,  ถาดป้อนกระดาษป้อนได้สูงสุดแค่ไหน
– หมึกพิมพ์ที่ใช้  ใช้หมึกพิมพ์แบบแยกสี หรือรวมเป็นตลับเดียว   ซึ่งหากใช้หมึกพิมพ์แบบแยกเป็นแต่ละสีจะประหยัดกว่า  เนื่องจากจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนทั้งตลับกรณีหมึกหมด  และโดยปกติแล้ว หมึกพิมพ์ของ printer แต่ละรุ่น  มักจะราคาไม่เท่ากัน  (ไม่แนะนำให้ซื้อ printer ที่ราคาถูกเพียงอย่างเดียวครับ  เพราะหมึกพิมพ์มักมีราคาแพง ทำให้ไม่คุ้มค่าในระยะยาว)
– การเชื่อมต่อการสั่งพิมพ์   ซึ่ง printer รุ่นใหม่ๆ บางรุ่นใช้เป็น wireless แล้ว  และสามารถสั่งพิมพ์ได้ง่ายๆ จากกล้องหรือมือถือได้อีกด้วย
– ฟังก์ชั่นเสริมอื่นๆ ที่น่าสนใจ  เช่น  มี scan และถ่ายเอกสารในตัว,  สามารถรับ-ส่ง แฟ็กซ์ได้
– เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา  เช่น  บางยี่ห้อมีเทคโนโลยีของหมึกพิมพ์โดยเฉพาะซึ่งช่วยให้การพิมพ์ภาพสีมีความคมชัดและสดใสมากยิ่งขึ้น
4. พิจารณาผู้ขาย หรือตัวแทนขายที่น่าเชื่อถือ
ปัจจุบันนี้มีช่องทางและวิธีการสั่งซื้อมากมาย  ทั้งการไปเดินเลือกซื้ัอเอง ซื้อสินค้าผ่านทางโทรศัพท์  หรือที่ง่ายมากๆ ในปัจจุบัน  สามารถแค่คลิกสั่งซื้อผ่านหน้าจอได้เลย   ซึ่งการที่จะเลือกซื้อจากผู้ขายแต่ละวิธี  ก็ขึั้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคล   แต่สิ่งสำคัญคือควรเลือกผู้ขายที่น่าเชื่อถือ  ให้ข้อมูลละเอียดและถูกต้อง  รวมถึงมีช่องทางการชำระเงินที่ปลอดภัย
โดยหากเป็นการสั่งสินค้าออนไลน์นั้นในปัจจุบันนี้ก็ถือว่ามีความสะดวกเป็นอย่างมาก  เราสามารถสั่งซื้อผ่านหน้าจอคอมฯ  และรอรับสินค้าที่บ้านในวันถัดไปได้เลย  ซึ่งถือว่ามีความสะดวกมาก โดยในการสั่งซื้อออนไลน์นั้น  สิ่งที่เราควรคำนึงถึงก็คือ  ผู้ขายมีเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือและมีช่องทางการติดต่อได้จริง   รวมทั้งจะต้องมีการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็คทรอนิกส์เรียบร้อยแล้ว  ซึ่งจะทำให้เรามั่นใจว่าจะไม่ถูกโกงอย่างแน่นอน
5. การรับประกันและการบริการหลังการขาย
ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อและจ่ายเงินนั้น  ควรตรวจสอบดูให้ดีว่า printer ที่เราซื้อมานั้นมีการรับประกันหรือไม่อย่างไรบ้าง  เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลังหากเกิดปัญหาขึ้น   หรือมีการบริการอื่นๆ อีกหรือไม่  เช่น  จัดส่งฟรีถึงบ้าน,  สามารถออกใบกำกับภาษีให้สำหรับลูกค้าที่เป็นองค์กรหรือบริษัทด้วย,  มีช่องทางการติดต่อกรณีมีปัญหาที่สะดวกสบาย  เช่น  มี call center  หรือมีอีเมล์สำหรับรับแจ้งปัญหาต่างๆ
ด้วยหลักการเลือกซื้อ printer ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ คงพอจะทำให้คุณผู้อ่าน  สามารถซื้อ printer ที่คุ้มค่าและเหมาะสมได้มากที่สุด  ในบทความต่อไป  ผมจะขออธิบายรายละเอียดของ printer ชนิดต่างๆ ให้ทราบกัน








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น